ราคาที่ไปถึงจุดทำกำไรแล้วกลับตัว

ในระหว่างการซื้อขาย เรามักจะพบว่าหลังจากที่เราได้ทำกำไร ราคาได้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เหมาะสมอย่างมาก หรือบางครั้งอาจจะไม่เคยถึงราคาทำกำไรของเราแล้วกลับตัว ทำให้ผู้ค้าหลายคนบ่นว่าตนโชคไม่ดี แต่จริงๆแล้ว โชคนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อทักษะในการซื้อขายนั้นยังไม่ดี โชคเองก็จะยิ่งไม่ดีไปอีก การตั้งจุดทำกำไรควรตั้งอย่างไร? ควรตั้งหรือไม่? ฉันคิดว่ายังคงควรตั้ง โดยเฉพาะเมื่อราคาที่สัมผัสจุดทำกำไรแล้วกลับมา นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว! ฮ่าๆ!

1. การทำกำไรที่ระดับจำนวนเต็ม

เมื่อเราทำคำสั่งหนึ่งคำสั่งและไม่แน่ใจว่าจะเปิดหรือปิดเมื่อใด การตั้งจุดทำกำไรที่ระดับจำนวนเต็มอาจเป็นทางเลือกที่ดี จากรูปที่แสดงให้เห็นว่าราคาทองคำได้มีการเพิ่มขึ้นไปที่ 1170.00 หลังจากนั้นเริ่มกลับตัว เมื่อเปิดการซื้อที่ 1100.00 ก็กลับตัวอีกครั้ง อาจมีความบังเอิญ แต่อย่างที่เราสังเกตดูประวัติราคา จำนวนเต็มที่กลับตัวมักมีความหมายมากมาย ดังนั้นเราจึงสามารถตั้งไว้ใกล้ ๆ กับจำนวนเต็มเพียงเล็กน้อย เช่น การขายที่เราตั้งจุดทำกำไรไว้ที่ 1009.00 แทนที่จะตั้งไว้ที่ 1100.00 เนื่องจากยังมีช่องว่างในการซื้อขายอยู่และโชคของคุณอาจจะไม่ดีเท่าไหร่

2. การทำกำไรที่ระดับสนับสนุน/ต้านทาน

ในการเปิดคำสั่งมักจะมีแนวโน้มที่จะตั้งจุดทำกำไรหรือหยุดการขาดทุนไว้ที่จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้ แต่บ่อยครั้งที่เราพบว่าสัมผัสกับการหยุดขาดทุนของเราแล้วกลับตัว หรือใกล้ ๆ กับการทำกำไรแล้วกลับตัว นี่คือความโชคร้ายอย่างแท้จริง ดังนั้นก่อนอื่นเราจำเป็นต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าจุดสนับสนุนหรือต้านทานที่แท้จริงคืออะไร จากภาพข้างต้น มันอาจเกิดขึ้นว่าเมื่อเราตั้งจุดทำกำไรไว้ที่จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้ มันอาจจะไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเราควรตั้งจุดทำกำไรใกล้ ๆ กับจุดสูงสุดของด้านหน้า

3. การแตกหน้าแนวต้าน/ช่องทางการเคลื่อนไหว

เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า ถ้าช่องทางมีความกว้างมากเท่าใด แนวการเคลื่อนไหวจะสูงเท่าไหร่ ก็คือ ถ้าระยะเวลาอยู่ในช่วงแนวนอนนานเท่าไหร่ เมื่อมีการแตกหน้า ราคาที่จะขึ้นหรือดิ่งจะมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่องว่างที่เคยอยู่ แน่นอนว่านี่มีเหตุผล เพราะเหมือนกับนักกีฬาวิ่ง ถ้าพวกเขาพักนานเท่าไหร่ พลังงานจะเต็มที่ขึ้น และระยะทางการวิ่งจะยาวขึ้น เมื่อมีการแตกหน้าออกไปทฤษฎี ราคาจะมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 120 จุด แต่ถ้ามีแค่ 80 จุดก็จะเริ่มสั่นไหว นั้นน่าจะเป็นผลที่ดี แต่การตั้งจุดทำกำไรที่ 6-70 จุดคือความปลอดภัยที่สุด

4. เส้นฟีโบนักชิ

เมื่อมีช่วงการขึ้นหรือลง เราจะสามารถคาดการณ์ได้ว่ามันอาจจะลงไปได้อีกสักกี่จุด หากเราที่ลูกค้านั้นขึ้นอยู่กับการปรับราคาของเขาในการคาดการณ์การอาจเพิ่มหรือดิ่งลง จากภาพข้างต้น ราคาเริ่มดิ่งไปแล้วปรับขึ้นประมาณ 70 จุด แล้วจึงเริ่มดิ่งลง เป้าหมายแรกจะอยู่ที่จุดต่ำมายก่อนสูญเสีย 100% เป้าหมายที่สองจะอยู่ที่ 161.8% หากตลาดมีความแข็งแรงพอ ราคาจะไปที่ 261.8% ในกรณีเมื่อเราแน่ใจในทิศทางที่ถูกต้องแต่ไม่รู้ว่าจะตั้งจุดทำกำไรไว้ที่จุดไหน เส้นฟีโบนักชิคคือเครื่องมือที่ดี

5. อย่ารอให้ราคาแตะจุดทำกำไร

ก่อนหน้านี้เราได้กล่าวถึงการที่จะปิดคำสั่งเมื่อใกล้จุดจำนวนเต็ม อย่างไรก็ตาม บางครั้งราคาจะยังห่างไปอีกหนึ่งจุดที่จะทำกำไร และเริ่มมีความผันผวน บางคนมักจะรอราคาเพื่อให้ไปที่จุดทำกำไร เขามักจะพูดว่า: "ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจนกระทั่งมันไปไม่ถึงจุดทำกำไร" ความจริงแล้วบางครั้งมันอาจเกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อโชคไม่ดีเพราะราคาหลังจากที่เข้าใกล้จุดทำกำไรอาจอยู่ที่นั่น การควรปิดการสั่งซื้ออย่างเด็ดขาดเพราะอัตราเสี่ยงและผลตอบแทนที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว เราได้ทำกำไรมาอย่างมากมาย และบางทีอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงการสูญเสียหนึ่งจุด หากเราต้องการทำสิ่งที่เหมาะสมสำหรับผลกำไรนั้น

ข้อท้ายเกี่ยวกับการตั้งจุดหยุดขาดทุน

หลายคนมักจะพบว่าตลาดมันจะสัมผัสกับจุดหยุดขาดทุนของเขาแล้วกลับไปยังจุดทำกำไรของเขา ทำให้รู้สึกว่าโชคไม่ดี และชอบรู้สึกว่าเป็นการติดขัด เช่นเดียวกับตัวอย่างหนึ่ง ในภาพด้านบน ลูกค้าได้ทำการสั่งซื้อเมื่อมีการแตกจุดสูง A แต่กลับตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้ที่จุด B ข้างล่าง นี่อาจทำให้ดูเหมือนว่าจะสามารถดูแลได้ แต่อย่างไรก็ตามการคิดเยี่ยมเกี่ยวกับรูปแบบหรือวิธีการคำนวณ เมื่อมีการขึ้นสูงขึ้นกว่าเดิมลูกค้าได้ตัดสินใจถูกต้องในช่วงการขึ้นนั้น แม้ว่าแนวโน้มจะเป็นการขึ้น แต่ต้องมีการพิจารณาที่ถูกต้องเสมอในการตั้งจุดหยุดขาดทุนที่ต่ำกว่าจุดสูง หากไม่ยอมรับการขาดทุนที่มากเราสามารถเลือกไม่ลงทุนแทน