การเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำธุรกรรมกลับตัวในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

โอกาสในการฟื้นตัวในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรานั้นยากที่จะจับได้ เนื่องจากเรามักจะไม่รู้ว่าเป็นการชะลอตัวของราคาหรือการกลับตัวหลังจากการตกต่ำ หากเป็นการชะลอตัวของราคา การซื้อเมื่อราคาต่ำจะประสบกับความเสี่ยงที่จะลดลงอีกครั้ง ส่งผลให้เราติดดอยได้ หากเป็นการกลับตัวหลังจากการตกต่ำ การฟื้นตัวอย่างรุนแรงนั้นจะเทียบเท่ากับการเคลื่อนไหวครั้งกลาง และมีโอกาสทำกำไรสูง หากเราสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสการฟื้นตัวหลังจากการตกต่ำ เราจะสามารถทำกำไรได้มากมาย

การแยกประเภทการฟื้นตัว

การฟื้นตัวแบ่งออกเป็นสองประเภท: ประเภทแรกคือการทำธุรกรรมฟื้นตัวในช่วงตกที่รุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องมีความเข้มงวดในการเลือกจังหวะซื้อ เนื่องจากการฟื้นตัวในช่วงตกที่รุนแรงนั้นสั้นมาก โอกาสผ่านไปอย่างรวดเร็ว การซื้อที่ราคาต่ำสุดจะมีความเสี่ยงน้อยที่สุด การดำเนินการจำเป็นต้องรวดเร็วและได้เงินกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งยากมาก; ประเภทที่สองคือการทำธุรกรรมฟื้นตัวในช่วงราคาสูง ซึ่งจะควบคุมได้ง่ายกว่า แต่ต้องการการประเมินสถานการณ์อย่างถูกต้อง หากประเมินว่านี่คือการฟื้นตัวในช่วงสูง การฟื้นตัวควรจะสูงขึ้นตามไปด้วย เป้าหมายการทำกำไรควรสูงขึ้นด้วย หากประเมินผิด จะถูกติดดอยทั้งหมด

การจัดการความเสี่ยงในการฟื้นตัว

ฉันเชื่อว่าวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสูงในการฟื้นตัวคือการควบคุมขนาดการลงทุนของเรา เมื่อมีการฟื้นตัว ฉันจะไม่ลงทุนเกินหนึ่งในสามของเงินทุน ทำไมต้องเพียงหนึ่งในสาม? เนื่องจากความเสี่ยงของการลงทุนหนึ่งในสามอยู่ที่หนึ่งในสาม แม้จะประเมินผิดก็จะไม่ตัดขาดทุนอย่างหนัก; สองในสามของเงินทุนจะเป็นเงินสำรองสำหรับการช่วยเหลือ หากดำเนินการผิดพลาดและตลาดตกต่ำจนพลาดการตัดขาดทุนที่ดีที่สุด ฉันสามารถซื้อเพิ่มเติมในจุดต่ำสุดของการฟื้นตัวเพื่อเฉลี่ยต้นทุน แม้เพียงมีการฟื้นตัวเล็กน้อยก็จะสามารถช่วยถอนเงินทุนที่ติดดอยหนึ่งในสามกลับคืนมา

แนวทางการฟื้นตัว

นักลงทุนหลายคนไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงซื้อขายด้วยขนาดการลงทุนเต็มจำนวน โดยไม่มีที่ว่างในการปรับตัว หากตลาดฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตลาดไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ เราจะอยู่ในสถานการณ์ที่ติดดอยอย่างน่าอึดอัด

การจับจังหวะการฟื้นตัว

การฟื้นตัวจะต้องควบคุมสองช่วงเวลา: ช่วงแรกคือเมื่อตลาดอยู่ในช่วงตกหล่นอย่างรุนแรงในวันก่อนหรือสองวันก่อน มีระดับหักเหเชิงลบสูงมาก; ช่วงที่สองคือเมื่อตลาดอยู่ที่แนวรับที่สำคัญ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยที่ 30 วัน, 60 วัน, หรือ 200 วัน หรือการเคลื่อนไหมที่ตำแหน่งฟีโบนักชี เช่น 0.382, 0.5, หรือ 0.618 หรือ อยู่ในบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่น ซึ่งหมายถึงระดับราคาที่เคยสร้างแพลตฟอร์มการซื้อขายที่หนาแน่น

การฟื้นตัวในช่วงเวลาปกติ

หากว่าการฟื้นตัวในระยะสั้นคือมืออาชีพที่ดีที่สุด การฟื้นตัวในวงจรคือสิ่งที่นักลงทุนทั่วไปควรทำความเข้าใจ การฟื้นตัวที่วงจรมักใช้เวลามากกว่าสองสัปดาห์ ความสูงของการฟื้นตัวอย่างน้อยมีหลายร้อยจุด การละทิ้งโอกาสทำกำไรแบบนี้ถือว่าหายาก

การเข้าใจ K-line และเส้นค่าเฉลี่ย

ในการเข้าถึงการฟื้นตัวในวงรอบควรพิจารณาจากสามจุด: เริ่มจากการดู K-line ซึ่งๆแสดงถึงราคาหรือการเคลื่อนไหวของราคา ดู K-line เพื่อสรุปว่าราคาไม่ลดลงอีกต่อไป การตกต่ำและการฟื้นตัวคือทิศทางที่ตรงกันข้าม จำเป็นต้องผ่านพื้นที่ที่มีความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายละครับ

การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

ต่อมาคือการดูค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยทั่วไปเราจะดูค่าเฉลี่ย 5 วัน ถ้าเราเห็นว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันเริ่มเคลื่อนไปในทิศทางขนาน ควรให้ความสนใจสูง เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปข้างบนเพื่อแทรกผ่านค่าเฉลี่ย 10 วัน จะกำหนดแน่นอนว่าการฟื้นตัวได้เริ่มขึ้นแล้ว

เทคนิคในการเก็บเกี่ยวผลกำไร

การดำเนินการสามารถแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน: เมื่อเห็นว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันเริ่มขนาน ควรซื้อทีละหนึ่งในสาม; จากนั้นเมื่อเห็นว่าราคาแทรกผ่านค่าเฉลี่ย 10 วัน ควรซื้อเพิ่มอีกหนึ่งในสาม; หลังจากราคาตกลงอีกครั้ง ยืนยันว่าราคาเริ่มขึ้นใหม่ ควรซื้อเพิ่มอีกหนึ่งในสามอย่างมั่นใจตอนนี้เราจะทำให้การฟื้นตัวในวงรอบได้รับประสิทธิภาพที่สุด

การใช้คำชี้วัดทางเทคนิค

ในการฟื้นตัว เงื่อนไขจำเป็นคือคำชี้วัดต้องทำงานในระดับต่ำ และคำชี้วัดในระดับต่ำจะบ่งบอกว่าตลาดอยู่ในสภาวะขายเกิน ต้องมีการซื้อขายกลับตัวในเวลากับจุดที่เหมาะสม

สรุปความคิดเห็น

หลังจากการวิเคราะห์ K-line, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และคำชี้วัดทางเทคนิคแล้ว ความสำเร็จของการฟื้นตัวในวงรอบจะเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนต้องใส่ใจและศึกษาทบทวน พัฒนาทักษะการซื้อขาย จะช่วยในการกลายเป็นมืออาชีพในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา