ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม ช่วงตลาดเอเชีย ราคาน้ำมันดิบโลกมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ โดยน้ำมันดิบสหรัฐ (WTI) ซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ 68.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันในวันจันทร์ผันผวนกว้าง แต่ในไตรมาสที่ 3 ราคาน้ำมันดิบลดลงถึง 17% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจกระทบต่อการจัดหาน้ำมัน ถูกบดบังด้วยความกังวลเกี่ยวกับความต้องการน้ำมันโลกที่อ่อนแอลง

สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเบรนท์ของเดือนพฤศจิกายนลดลง 21 เซนต์ ปิดที่ 71.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาซื้อขายของเดือนธันวาคมซึ่งมีการซื้อขายอย่างคึกคักมากกว่า เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ ปิดที่ 71.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทั่วโลกลดลง 9% ในเดือนกันยายน นับเป็นการลดลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 และในไตรมาสที่ 3 ร่วงลงถึง 17% ซึ่งเป็นการลดลงรายไตรมาสครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี

สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบของสหรัฐ (WTI) ลดลง 1 เซนต์ ปิดที่ 68.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันสหรัฐในเดือนกันยายนลดลง 7% ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ตุลาคม 2023 และลดลง 16% ในไตรมาสที่ 3

ในวันจันทร์ที่ผ่านมา อิหร่าน ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) อาจถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่กำลังขยายตัว ซึ่งให้แรงหนุนต่อราคาน้ำมัน

นับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา การโจมตีของอิสราเอลได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยสังหารผู้นำของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์และฮามาสในเลบานอน และโจมตีเป้าหมายกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

Tim Snyder นักเศรษฐศาสตร์จาก Matador Economics กล่าวว่า ตลาดกำลังประเมินว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะลุกลามไปทั่วภูมิภาคหรือไม่

กองทัพเลบานอนถอนกำลังออกจากชายแดนติดกับอิสราเอลในคืนวันจันทร์ และการบุกของกองทัพอิสราเอลดูเหมือนจะใกล้เข้ามา นักข่าวรายงานเห็นแสงไฟวาบและได้ยินเสียงระเบิดตามมา

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศโดยประเทศมหาอำนาจแห่งเอเชียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันตอบสนองเท่าไรนัก เนื่องจากนักลงทุนสงสัยว่ามาตรการเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ในการกระตุ้นความต้องการน้ำมันที่ต่ำกว่าคาดการณ์ในปีนี้

ข้อมูลเศรษฐกิจในวันจันทร์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการผลิตของประเทศในเอเชียหดตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และภาคบริการชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนกันยายน

ราคาน้ำมันในวันอังคารยังคงทรงตัว เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของความต้องการทั่วโลกที่อ่อนแอ และการเข้าสู่ตลาดของอุปทานเพิ่มเติม ทำให้ลดทอนความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกจากภูมิภาคผู้ผลิตน้ำมันหลัก

นักวิเคราะห์จากธนาคาร ANZ กล่าวในรายงานว่า "ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เทรดเดอร์ได้ประเมินแนวโน้มและพบว่าราคาน้ำมันดิบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก"

พวกเขายังเสริมว่า "ความเสี่ยงของการหยุดชะงักในการจัดหาน้ำมันในตะวันออกกลางถูกหักล้างด้วยโอกาสการเพิ่มการผลิตจาก OPEC แม้ OPEC จะพยายามรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมัน แต่ราคาน้ำมันยังคงเผชิญแรงกดดัน"

ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) ในวันจันทร์แสดงให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดตามฤดูกาลตั้งแต่ปี 2019 ขณะที่การผลิตน้ำมันลดลงเป็นครั้งที่สองในรอบสามเดือน

แม้ว่าความต้องการน้ำมันของสหรัฐจะยังคงแข็งแกร่ง แต่การผลิตในเดือนกรกฎาคมลดลง 2.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 13.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

อย่างไรก็ตาม การปราศรัยของ Jerome Powell ประธานเฟดในวันจันทร์ ซึ่งมีท่าทีแข็งกร้าว ทำให้ดัชนีดอลลาร์ฟื้นตัว 0.3% ปิดที่ 100.76 ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาน้ำมัน

ในวันนี้ นักลงทุนจะต้องติดตามข้อมูล CPI ของเขตยูโรเดือนกันยายน ข้อมูล PMI การผลิตของสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูล JOLTs และ API เพื่อประเมินแนวโน้มตลาดน้ำมันต่อไป