ดัชนีดาวโจนส์ฟื้นตัวกว่า 100 จุด หลังจากที่เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นตกลงอย่างหนัก เนื่องจากแรงกดดันจากการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรที่นักลงทุนส่งเข้ามา

เมื่อเวลา 21:01 น. ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 42,870.23 จุด เพิ่มขึ้น 129.81 จุด หรือ 0.3%

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อวานนี้จากแรงกดดันของหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง หลังจากที่อิสราเอลยืนยันว่าจะไม่โจมตีแหล่งน้ำมันของอิหร่าน

นักลงทุนกำลังเฝ้าดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐและแถลงการณ์จากเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ

นักลงทุนได้ประเมินความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งก็คือการประชุมในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ที่มีการคาดการณ์ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 0.25 จุด

ความคาดหวังต่อนักลงทุนที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพฤศจิกายนมีความเป็นไปได้ใกล้เคียงกับ 100% ในขณะที่การลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมมีความเป็นไปได้เกือบ 90%

จากข้อมูลของ CME FedWatch เครื่องมือที่ติดตามความคาดหวังของตลาดการเงิน เผยว่านักลงทุนมองว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน โดยมีความเป็นไปได้ 96.3% และมีความเป็นไปได้ 87.7% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลงอีก 0.25% เป็น 4.25-4.50%

หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม การลดดอกเบี้ยนี้จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่เฟดที่ปรากฏในแผนการคาดการณ์นโยบายอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภายในสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยจะลดลงทั้งหมด 0.50%

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดยังระบุว่าในปี 2025 อาจมีการลดดอกเบี้ย 1.00% และในปี 2026 จะลดดอกเบี้ยอีก 0.50%

โดยรวมแล้ว แผนการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 และ 2026 จะทำให้เฟดลดดอกเบี้ยรวมทั้งหมด 2.00% หลังจากที่ลดดอกเบี้ยไปแล้ว 0.50% ในการประชุมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา